หลังป้าหมอไปเรียนแพทย์ที่เยอรมนี และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นหลายปีกับสามี น.ต.นพ.สมศักดิ์ สูรพันธ์ เมื่อกลับมาเมืองไทยอีกครั้งเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว เห็นข่าวเด็กถูกทิ้งผ่านสื่อต่างๆ ป้าหมอจึงรู้สึกหดหู่เกินกว่าที่จะนิ่งเฉยต่อสิ่งที่เห็นได้


“กลับมาอาทิตย์แรกก็พบแล้วว่า เด็กที่โดนทอดทิ้งเกิดขึ้นบ่อยๆ ราวกับเป็นเรื่องปกติ หดหู่มากๆ ราวกับชีวิตของเด็กไร้ค่า เดี๋ยวมีเด็กโดนทิ้งที่ถังขยะบ้าง ตรงโน้นตรงนี้ ในสวนจตุจักร”

___________________

ที่มา. MGR

        Post Today

  

    โรงพยาบาลอยู่ได้ด้วยงบประมาณของรัฐเป็นหลัก บางส่วนก็มาจากเงินบริจาค และบางส่วนทางคณะผู้บริหารก็ต้องหารายได้เข้าโรงพยาบาลด้วยค่ารักษาและกิจกรรมต่างๆ ท่านอาจเป็นส่วนหนึ่งของผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนโรงพยาบาล ด้วยเงินของพวกเราเพียงคนละเล็กละน้อย แม้เพียง 10 บาท แต่ทำบ่อยๆ ก็ถือว่าเราเป็นผู้ให้ที่เป็นคนส่วนน้อยในโลก ทำให้เกิดปิติทุกคราที่ระลึกถึง ...โรงพยาบาลสงฆ์  

   

    เราทุกคนล้วนอยากเป็นผู้ให้ แม้กระทั่งในยามที่ไม่ค่อยมี แต่ที่จริงเราไม่จำเป็นต้องรอให้มั่งมีแล้วจึงทำดีหรือแบ่งปัน เพราะความจริงแล้วเรามีหลายอย่างที่เหลือเฟืออยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว 

   เมื่อลองกลับไปดูในบ้านหรือในใจเรา จะเห็นว่าเรามีหลายอย่างมากกว่าที่คิด บางอย่างที่ไม่ใช้ประโยชน์แล้ว แต่ยังใช้งานได้ดีไม่ชำรุดเสียหาย เช่นเสื้อผ้าเก่า อุปกรณ์เครื่องใช้เก่า คอมพิวเตอร์เก่า หรือแม้กระทั่งแรงกายที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือในตัวเรา นำออกมาแบ่งปัน.. และคุณจะพบความสุข ที่มีเพียงคนจำนวนน้อยที่รู้สึกถึงความสุขเช่นนี้ได้ คือ คุณนั่นเอง   The mirror donation

  อย่ามัวแต่จมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง ลุกออกมาแบ่งปันพลังให้สังคม 

   ดูออกแหละ  อยากแบ่งปัน อยากให้  ไม่อยากให้ชีวิตไร้ค่า  มูลนิธินี้ ไม่เพียงแค่บูรณะและฟื้นฟูพุทธศาสนา แต่ทางสังคมก็มีบทบาทที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ เช่นในยามวิกฤตโควิท
    ผู้คนมากมายบริจาคผ่านมูลนิธินี้ เพราะกิจกรรมที่หลากหลายตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา และในช่วงนี้ โควิทครองเมือง บูรณะพุทธก็โฟกัสไปที่การสนับสนุนแพทย์และบุคคลากรทางการแพทย์ เช่น เครื่องมือทางการแพทย์ต่างๆที่ จำเป็น และอื่นๆ

มีผู้พิการทางสายตาคนหนึ่ง ได้ร้องเพลงนี้เอาไว้ ที่ไหนสักแห่งครับ

ฝ่าลู่ทางชีวิตต้องคิดเฝ้าย้อมใจ โลกมืดมนเพียงใดหัวใจอย่าคร้ามเกรง 

ตั้งหน้าชื่นเอาไว้ย้อมใจด้วยเพลง ไยนึกกลัวหวาดเกรงยิ้มสู้ 

มีผู้คนจำนวนหนึ่ง ได้ทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นความเมตตา กรุณา โดยไม่จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงความเป็นบุญใหญ่บุญเล็ก เหมือนคนส่วนใหญ่เลย

มนุษย์นั้นสามารถปลดปล่อยคลื่นความถี่ด้านบวกได้อย่างน่าทึ่ง เป็นพลังงานสูงขนาดขับเคลื่อนโลกได้ทีเดียว และพวกมนุษย์ก็ยังสามารถปลดปล่อยคลื่นความถี่ด้านลบ ถึงขนาดทำให้โลกและจักรวาลมีปัญหาได้เช่นกัน

พวกสัตว์นั้น โดยเฉพาะสัตว์ที่ใกล้ชิดมนุษย์ พวกเขาแม้จะปลดปล่อยคลื่นด้านบวกมาได้น้อยกว่ามนุษย์มาก  ....แต่พวกเขาแทบจะไม่ปล่อยคลื่นลบออกมาสู่จักรวาลเลย